เคยหรือไม่เมื่อตื่นนอนตอนเช้าและก้าวเท้าลงพื้นจะเกิดอาการปวดบริเวณฝ่าเท้าและส้นเท้า ถ้าเคยนั่นหมายถึง คุณอาจเริ่มเป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ หรือที่เรียกกันว่า “รองช้ำ”  ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากมีการบาดเจ็บหรืออักเสบของเอ็นฝ่าเท้าบริเวณที่เกาะกับกระดูกส้นเท้า โดยเอ็นฝ่าเท้าจะยึดจากกระดูกส้นเท้าไปยังนิ้วเท้าเพื่อช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเดินหรือวิ่ง


อาการเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

ผู้ที่เป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบจะมีอาการปวดและกดเจ็บบริเวณส้นเท้า ในระยะแรกอาจเกิดอาการภายหลังการออกกำลังกาย เดิน หรือยืนนาน ๆ แต่ถ้าอาการมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดส้นเท้าอยู่ตลอดเวลา


สังเกตบอกโรค

ผู้ที่เป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ เมื่อลุกขึ้นเดิน 2 – 3 ก้าวแรกหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งพักขาเป็นเวลานาน จะรู้สึกเจ็บบริเวณส้นเท้า เนื่องจากเกิดการกระชากของเอ็นฝ่าเท้าที่อักเสบอย่างทันทีทันใด  แต่เมื่อเดินไประยะหนึ่ง เอ็นฝ่าเท้าจะค่อย ๆ ยืดหยุ่นขึ้น อาการเจ็บส้นเท้าจึงค่อย ๆ ทุเลาลง แม้จะเป็น ๆ หาย ๆ แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ดีแน่ เพราะอาการเจ็บปวดส้นเท้าเรื้อรัง  จะส่งผลกระทบอย่างมากกับการทำกิจวัตรประจำวันและการทำงาน เนื่องจากผู้ป่วยจะเกิดความเครียด วิตกกังวล และอาจมีหินปูนเกิดขึ้นบริเวณกระดูกส้นเท้าที่เอ็นฝ่าเท้ายึดเกาะอยู่ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อเท้า ปวดเกร็งและตึงของกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวาย เนื่องจากจังหวะการเดินหรือลงน้ำหนักที่ผิดปกติไปจากอาการเจ็บส้นเท้า


ใครเสี่ยงเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

  • ผู้หญิง เนื่องจากไขมันส้นเท้าจะบางกว่า เอ็นและกล้ามเนื้อน่องและฝ่าเท้าไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย
  • น้ำหนักเกิน
  • อายุมากขึ้น เนื่องจากไขมันบริเวณส้นเท้าจะบางลง ทำให้จุดเกาะของเอ็นฝ่าเท้าบริเวณกระดูกส้นเท้าได้รับแรงกระแทกมากขึ้น
  • ทำงานที่ต้องยืนหรือเดินนาน ๆ บนพื้นแข็งหรือขรุขระ
  • ออกกำลังกายหนักเกินไปหรือไม่ได้ยืดกล้ามเนื้อน่องหรือเอ็นร้อยหวาย
  • มีภาวะฝ่าเท้าแบนหรือโก่งโค้งจนเกินไป
  • มีความผิดปกติของข้อเท้า ข้อเข่า หรือข้อสะโพก ทำให้การเดินและการลงน้ำหนักผิดไปจากปกติ
  • มีการใช้รองเท้าที่ไม่ถูกลักษณะ เช่น พื้นรองเท้าบางและแข็งเกินไป

รักษาเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ รักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัดเป็นหลัก ประมาณ ร้อยละ 80 – 90ของผู้ป่วย อาการจะดีขึ้น แต่ต้องใช้ความอดทนในการดูแลรักษาตัวเอง (อาจใช้เวลานานถึง 2 – 6เดือน) และต้องอาศัยหลาย ๆ วิธีประกอบกัน คือ

  1. การใช้ยา อาจเป็นยากินเพื่อลดอาการปวดและอักเสบ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นอาจใช้ยาฉีดสเตียรอยด์ฉีดเฉพาะที่เพื่อลดอาการอักเสบ  แต่จะจำกัดการใช้เพียง  2 – 3 ครั้ง
  2. การลดหรือแก้ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ลดน้ำหนัก  ลดการออกกำลังกายที่หนักเกินไป ฯลฯ
  3. การเปลี่ยนหรือแก้ไขรองเท้าให้ถูกลักษณะขึ้น โดยเลือกรองเท้าที่มีส้นนุ่ม ๆ หรือใช้แผ่นรองส้นเท้าที่นุ่ม ๆ มาติดเสริมในรองเท้า  ผู้ที่มีฝ่าเท้าแบน อาจเลือกใช้แผ่นรองที่บริเวณอุ้งเท้าเพื่อไม่ให้เท้าล้มเวลาเดินลงน้ำหนัก  และควรใส่รองเท้าส้นนุ่ม ๆ เดินในบ้านด้วย
  4. การทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง  ได้แก่
    – การประคบร้อนหรือเย็น
    – การยืดกล้ามเนื้อน่องและเอ็นฝ่าเท้า โดยในการยืดจะต้องทำค้างไว้ 10  วินาที  ทำครั้งละประมาณ 10 ครั้ง  ควรทำก่อนลุกขึ้นเดินหลังตื่นนอนและหลาย ๆ ครั้งต่อวัน

ในกรณีที่ผู้ป่วยดูแลตนเองอย่างเต็มที่โดยวิธีไม่ผ่าตัดแล้วยังมีอาการของเอ็นฝ่าเท้าอักเสบอยู่  อาจจะต้องผ่าตัดเพื่อเลาะเนื้อเยื่ออักเสบและยืดเอ็นฝ่าเท้า หรือเอาหินปูนที่เกาะบริเวณกระดูกส้นเท้าออก  ป้องกันได้โดยเลือกใช้รองเท้าที่ถูกลักษณะ มีตัวรองส้นที่นุ่ม  พื้นไม่บางหรือแข็งเกินไป พร้อมแก้ไขหรือลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ข้างต้น

หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาจนลุกลามอาจส่งผลร้าย คือ เกิดการอักเสบของข้อต่อและกล้ามเนื้ออื่น ๆ ในขาเดียวกัน และอาจส่งผลไปถึงกล้ามเนื้อและข้อต่อของสะโพกและบั้นเอวด้วยจากลักษณะการเดินที่ผิดไปจากอาการเจ็บส้นเท้า


อย่างไรก็ตามการรักษาโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบจะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยเป็นหลัก  เพราะการใช้ยาเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้หายได้ โดยผู้ป่วยต้องลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ  แก้ไขรองเท้า และทำกายภาพบำบัดยืดเอ็นฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อน่องเป็นประจำ จึงจะทำให้อาการทุเลาได้  ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมว่ามีปัญหาอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ ถึงแม้จะรักษาจนหายดีแล้ว ก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่แก้ไขหรือลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ