กระดูกพรุนคืออะไร
โรคกระดูกพรุนคือโรคกระดูกที่เกิดขึ้นได้กับกระดูกทั่วร่างกาย โดยมีลักษณะสำคัญคือ มวลหรือปริมาณเนื้อกระดูกลดลงร่วมกับการที่เนื้อกระดูกคุณภาพแย่ลง ส่งผลให้กระดูกในร่างกายแตกหักได้ง่าย แม้แต่แรงซึ่งปกติไม่ทำให้คนหนุ่มสาวกระดูกหัก ก็สามารถทำให้คนที่เป็นโรคกระดูกพรุนกระดูกหักได้
ทำไมผู้สูงอายุเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน ทำให้มวลกระดูกลดลง ในผู้หญิงมวลกระดูกจะลดลงไปเรื่อย ๆ หลังหมดประจำเดือนหรือก่อนหมดประจำเดือนเล็กน้อย ส่วนในผู้ชายตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป มวลกระดูกจะลดลงเรื่อย ๆ พอลดลงจนกระดูกเริ่มแตกหักง่าย จะเรียกว่า โรคกระดูกพรุน เพราะฉะนั้นโรคกระดูกพรุนส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุหรือผู้หญิงหมดประจำเดือน ที่ชอบเรียกกันว่า โรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือนและโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1) โรคกระดูกพรุนปฐมภูมิ เกิดในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เป็นโรคกระดูกพรุนที่พบได้บ่อย เพราะเป็นธรรมชาติที่มวลกระดูกของคนเราจะลดลงหลังหมดประจำเดือนและหลังอายุ 50 ปี
ปัจจัยเสี่ยงคือ สิ่งที่ทำให้มวลกระดูกสลายเร็วขึ้น เช่น ขาดวิตามินดี ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ การใช้ยาบางประเภท ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม รวมถึงกรรมพันธุ์ โรคกระดูกพรุนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ถึง 40% คนในครอบครัวมีประวัติกระดูกหักง่าย หรือเคยกระดูกหักมาก่อนจากอุบัติเหตุแรงน้อย ๆ เช่น ล้มจากยืนแล้วมีกระดูกหัก
2) โรคกระดูกพรุนทุติยภูมิ เกิดจากโรคหรือยาบางชนิดที่มีผลทำให้มวลกระดูกสลายมากขึ้น และโรคกระดูกพรุนสามารถเกิดได้ในวัยหนุ่มสาว
อาการเตือนและสัญญาณของโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนมักไม่มีอาการเตือน จึงใช้วิธีประเมินปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน ใครมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่ามีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนก่อนคนที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่อาการแรกที่เจอ คือ กระดูกหัก วิธีประเมินนอกจากใช้วิธีประเมินปัจจัยเสี่ยง คือการตรวจมวลกระดูก ซึ่งปัจจุบันเรามีเครื่องตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone Density Mass) ที่ทันสมัย สามารถวัดปริมาณของมวลกระดูกได้ชัดเจนและแน่นอน ในผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนที่กระดูกสันหลังจะมีอาการปวดหลัง แต่สาเหตุของอาการปวดหลังมีมากมายจึงต้องหาสาเหตุที่แท้จริง ที่สำคัญโรคกระดูกพรุนเกิดขึ้นได้กับกระดูกทุกชิ้นในร่างกาย แต่กระดูกที่มักเป็นกระดูกพรุนก่อนที่อื่นจะเป็นกระดูกสันหลังเป็นอันดับแรก จึงเป็นกระดูกที่หักบ่อยที่สุดในโรคกระดูกพรุน อาการจะมีปวดหลังก่อนล่วงหน้าที่จะหัก แต่ไม่ได้เป็นทุกคน เพราะฉะนั้นอาการปวดหลังไม่ใช่อาการหลักของโรคกระดูกพรุน
การรักษาโรคกระดูกพรุนในปัจจุบัน
การรักษาโรคกระดูกพรุนในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- การรักษาโดยไม่ใช้ยา ได้แก่
- ผู้ป่วยรับแคลเซียมในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ร่างกายจะนำแคลเซียมไปใช้สร้างกระดูก
- ผู้ป่วยรับวิตามินดีในปริมาณ 800 – 1,000 ยูนิตต่อวัน วิตามินดีช่วยส่งเสริมร่างกายในการดูดซึมแคลเซียม และทำให้เซลล์กระดูกทำงานได้ดีขึ้น
- ผู้ป่วยต้องออกกำลังกาย เช่น เดินวันละ 30 นาทีทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 4 – 5 ครั้ง เพราะกระดูกจะแข็งแรง ต้องมีแรงกระทำตั้งแต่กระดูกสันหลังลงไปถึงสะโพกถึงเท้า จะทำให้กระดูกคงความแข็งแรงไว้ได้
- การรักษาโดยใช้ยา ปัจจุบันมียาที่สามารถเพิ่มมวลกระดูกที่ลดลงได้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- ยายับยั้งการสลายกระดูก เพราะหลังอายุ 50 ปีขึ้นไป และหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะสลายตัว สามารถให้ยาเพื่อยับยั้งการสลายกระดูกได้ การสลายกระดูกหรือมวลกระดูกจะสามารถเพิ่มขึ้นได้
- ยาเพิ่มการสร้างมวลกระดูก ยากระตุ้นให้เซลล์กระดูกสร้างกระดูกใหม่เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นมวลกระดูกจะเพิ่มมากขึ้น เป็นยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่ายาในกลุ่มยับยั้งสลายกระดูก
ข้อดีของการใช้ยา
- ช่วยเพิ่มมวลกระดูก
- ช่วยให้ความแข็งแรงของกระดูกกลับคืนมา
- ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักในอนาคต
- ป้องกันไม่ให้กระดูกหักในอนาคต
ทั้งนี้การรักษาโดยการใช้ยาในผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์