ก่อนจะพึ่งยาแก้ปวดครั้งต่อไป ลองมาดูว่ามีวิธีไหนที่ช่วยบรรเทาหรือหยุดอาการปวดหัวให้หมดไปได้ เพราะการกินยาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย บางคนกินยาเข้าไปแล้วอาการปวดก็ยังไม่หายแถมยังสะสม ส่งผลกระทบต่อตับและไตตามมาในภายหลัง หรือในคนไข้บางคนที่ไม่สามารถกินยาแก้ปวด เนื่องจากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ยาจึงไม่ใช่ทางออกเสมอไป
หาสาเหตุให้เจอ
หากไมเกรนมาเยือนครั้งต่อไป การหาสาเหตุของอาการปวดหัวให้พบคือสิ่งสำคัญ
- สังเกตดูว่าทุกครั้งที่มีอาการปวดหัว เริ่มต้นจากอะไร เพราะแต่ละคนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวแตกต่างกัน บางคนอาการป่วยมาพร้อมกับความเครียดและพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ บางคนเริ่มปวดหัวหลังการเผชิญกับแสงแดดจ้าในเวลากลางวันหรืออากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางคนรู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง หรือได้กลิ่นฉุนจากน้ำหอม กลิ่นควันธูป เหล่านี้คือปัจจัยยอดฮิตที่ทำให้อาการปวดกำเริบและเป็นปัญหาใหญ่ของคนไข้ในปัจจุบัน
- อาหารบางประเภทมีส่วนเสริม ทำให้อาการกำเริบ เช่น อาหารแปรรูป อย่างไส้กรอกรมควันที่มีส่วนผสมของสารกันบูด อาหารประเภทหมักดอง ผงชูรส น้ำตาลเทียม ผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์แดง เบียร์ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน กาแฟ ชา โกโก้ น้ำอัดลม ตลอดจนชีสและผงชูรส
- ผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงมีรอบเดือน ทำให้สมองมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และการอดอาหารก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นอาการได้เช่นกัน
ดูแลรักษาไมเกรน
เมื่อค้นหาสาเหตุเจอแล้ว สิ่งที่ควรทำคือหลีกเลี่ยงหรือหยุดปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นให้ได้ การที่ผู้ป่วยเดินทางมาพบแพทย์จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมกับอาการที่เป็น แม้กระทั่งข้อปฏิบัติในการทานยาที่หลายคนอาจยังไม่รู้ เช่น เมื่อรู้สึกปวดหัวแล้วให้รีบกินทันทีเพื่อระงับอาการ แทนที่จะทนให้อาการปวดรุนแรงก่อนถึงจะกินยา ซึ่งเป็นผลเสีย เพราะเมื่อร่างกายเข้าใจว่ายอมรับอาการปวดได้ ก็จะเริ่มปรับระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น
“การค้นหาสาเหตุให้พบจะนำมาสู่การรักษาอย่างถูกวิธี เพราะหลายครั้งที่แพทย์ตรวจพบว่า สาเหตุของไมเกรนไม่ได้มาจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก แต่เป็นอาการปวดที่มาจากปัจจัยภายใน เช่น ปวดจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งต่อให้ทานยาเป็นประจำก็ใช่ว่าจะหาย”
เทคนิคการวินิจฉัยและรักษาอาการปวดศีรษะ
นอกจากการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ ปัจจุบันมีการนำเทคนิคใหม่ในการวินิจฉัยและรักษาอาการปวดศีรษะอย่างได้ผล เช่น ไบโอฟีดแบ็ค (Biofeedback) เพื่อวัดการทำงานของร่างกายขณะปวดหัว เปรียบเทียบกับร่างกายในยามที่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเต้นของหัวใจ กล้ามเนื้อ ความดัน อุณหภูมิ ใช้เป็นเกณฑ์ในการฝึกร่างกายให้ผ่อนคลาย กำหนดลมหายใจลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เพื่อให้อาการปวดค่อย ๆ ทุเลา และทานวิตามินเสริม เช่น วิตามินบี 2 เกลือแร่ และโคเอนไซม์คิว 10
ส่วนกรณีอาการปวดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จากความผิดปกติของโครงสร้าง ร่างกาย ท่านั่ง ยืน เดิน หรือนอนที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุลและเกิดการฉีกขาดได้นั้น การทำกายภาพบำบัดมีส่วนช่วยแก้อาการปวดหัวได้เช่นกัน
เทคนิคสุดท้าย คือ แพทย์ทางเลือก อย่างการฝังเข็มบริเวณหน้าผาก ขมับ ท้ายทอย กลางกระหม่อม และกระบอกตา ช่วยให้เส้นลมปราณที่ติดขัดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหาให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น ผลจากฝังเข็ม 10 ครั้ง ใน 1 เดือน สามารถบรรเทาอาการปวดในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี
ข้อมูล : นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาล